รีบเช็ค! ก่อนผิวส่งสัญญาณเริ่มเป็นฝ้า
สัญญาณบ่งบอกว่าเริ่มเป็นฝ้า
เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ปัญหาผิวสารพัดอย่างก็ตามมาอีกเพียบ โดยเฉพาะผิวหน้า ถึงแม้ผู้หญิงทุกคนจะดูแลใส่ใจ
เป็นอย่างดีแค่ไหนแต่ก็ยังมีปัญหาผิวให้กังวลอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็น ผิวแห้ง ริ้วรอย ความหย่อนคล้อย ฝ้า กระ จุดด่างดำ ต่างๆ
วันนี้วลีรัตน์คลินิกจะพาไปทำความรู้จักกับฝ้าหนึ่งในปัญหาแก้ยากบนใบหน้าที่ทำให้ผู้หญิงหมดความมั่นใจกันค่ะ
ฝ้ามีกระบวนการเกิดที่คล้ายคลึงกับรอยกระ แต่ฝ้าจะมีบริเวณกว้างกว่า เห็นได้ชัดกว่า เกิดขึ้นได้ทุกส่วนของใบหน้า
ฝ้าเกิดจากการที่เซลล์ เมลาโนไซต์ซึ่งอยู่ในหนังกำพร้าชั้นล่างสุดของผิวหนังผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไป
ในบางบริเวณของผิว ทำให้เกิดเป็นรอยสีน้ำตาลไปจนถึงเทาส่วนใหญ่มักจะเกิดในส่วนที่โดนแดด เช่น โหนกแก้ม
หน้าผาก คาง เป็นต้น อายุเฉลี่ยของคนเป็นฝ้าจะเริ่มที่ 30 ปีขึ้นไปและพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
สัญญาณก่อนจะเกิดฝ้า
จะสังเกตยังไงว่าจะเกิดฝ้า หากใครที่เริ่มมีจุดสีแดง หรือ จุดสีดำเกิดขึ้นบนใบหน้าหลังจากโดนแสงแดด
และจุดสีเหล่านี้จะเกิดขึ้นเป็นๆหายๆ หรือเป็นแล้วกลับมาเป็นใหม่ ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าเป็นสัญญาณเริ่มต้นที่จะเกิดฝ้าบนใบหน้าได้
ปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้า
-
พบได้บ่อยในการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นช่วงที่ฮอร์โมนเพศหญิงมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ผิวหนังคล้ำขึ้นหรือเป็นฝ้า บางครั้งเมื่อคลอดบุตรแล้ว ฝ้าจะจางลงแต่ก็อาจจะไม่หายขาด
-
พันธุกรรม ในทางการแพทย์ยืนยันแล้วว่ามีผลแน่นอน ใครที่มีปู่ ย่า ตา ยาย เป็นฝ้ามาก่อน ก็มีโอกาสที่จะเป็นฝ้าได้ง่ายกว่าปกติ โดยเฉพาะคนที่มีผิวสีคล้ำหรือมีเซลล์สีค่อนข้างมาก
ปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้า
-
ภาวะทุพโภชนาการ อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากพบผื่นแบบฝ้าในผู้ที่มีการทำงานของตับผิดปกติและผู้ที่ขาดวิตามินบี 12
-
การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด ยารักษาโรคหัวใจบางชนิด ยากันชัก กลุ่มฟีไนโทอิน (Phenytoin-related anticonvulsants) และ กลุ่มยาที่มีปฏิกิริยาไวต่อแสง (Phototoxic drugs) เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมียาทาที่อาจก่อให้เกิดจุดสีดำอมเทาคล้ายฝ้า (Ochronosis) ใต้ผิวหนัง
เช่น ยากลุ่มไฮโดรควิโนน(Hydroquinone) ดังนั้น การใช้ยาชนิดนี้จึงควรอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
ปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้า
-
การแพ้น้ำหอมหรือเครื่องสำอาง สารที่ให้ความหอมบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับแสงแดด แล้วทำให้เกิดรอยคล้ำได้ เช่น สบู่หอม หรือน้ำยาหลังโกนหนวด เป็นต้น
ปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้า
แสงแดด เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดฝ้า เนื่องจากรังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดดจะส่งผลกับเซลล์ผิวหนัง
ที่เรียกว่าเมลาโนไซต์ ซึ่งควบคุมการสร้างเม็ดสีในผิวหนังแต่การที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้โดนแสงแดดเลย
ก็ทำได้ค่อนข้างยากและฝ้าจะเข้มขึ้นหากตากแดดเป็นเวลานาน
ชนิดของฝ้า
แบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลักๆ คือ
-
ฝ้าตื้น (Epidermal Melasma) คือ การที่เมลานินมีการกระจายตัวมากเป็นพิเศษบริเวณหนังกำพร้า ฝ้าตื้นมีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาล มีขอบเขตชัดเจน ตอบสนองได้ดีต่อไวเทนนิ่งหรือตัวยาอื่นๆ
-
ฝ้าลึก (Dermal Melasma) คือ การที่เมลานินกระจายตัวลึกลงไปยังชั้นหนังแท้ ปื้นที่เกิดขึ้นจึงมีสีเข้มกว่าเป็นสีเทาคล้ำ ไม่มีขอบเขตชัดเจน ซึ่งฝ้าลึกจะรักษาให้หายยาก ไม่ตอบสนองต่อไวเทนนิ่งที่ทาภายนอก
ลักษณะการกระจายของฝ้า
แบ่งได้เป็น 3 แบบ คือ
-
Centrol facial Pattern รอยฝ้าบริเวณแก้ม หน้าผาก หนวด จมูก และคาง พบประมาณร้อยละ 63
-
Malar Pattern รอยฝ้าที่แก้มและจมูก พบประมาณร้อยละ 21
-
Mandibular Pattern รอยฝ้าบริเวณด้านข้างของคาง ขากรรไกรล่าง พบประมาณร้อยละ 16
อย่างไรก็ตามลักษณะการกระจายของฝ้าทั้ง 3 แบบ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอายุผู้ป่วย ลักษณะผิว การกินยาคุมหรือการตั้งครรภ์
ป้องกันการเกิดฝ้า
การเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดโดยตรงเป็นหนึ่งในการป้องกันฝ้าที่สามารถทำได้ในชีวิตประจำวันมากที่สุด
เนื่องจากรังสีอัลตราไวโอเลตทั้ง ยูวีเอ (UVA) ยูวีบี (UVB) หรือแสงที่ตามองเห็นได้ (Visible Light)
อาจกระตุ้นให้เกิดกระบวนการสร้างเม็ดสีเพิ่มมากขึ้นจนทำให้เกิดฝ้าได้
- ควรทาครีมกันแดดก่อนเผชิญกับแสงแดด 30 นาที เพื่อป้องกันผิวหนังถูกทำร้ายจนคล้ำเสีย โดยเลือกครีมกันแดดที่มีค่าเอสพีเอฟอย่างน้อย 30 ซึ่งตัวเลขค่าเอสพีเอฟนี้เองจะเป็นค่าที่บ่งบอกว่าครีมมีประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากแสงแดดได้ดีมากน้อยแค่ไหน
- รวมไปถึงมีสารป้องกันแดดแบบกายภาพเป็นส่วนประกอบ เช่น ไทเทเนียมไดออกไซด์ (Titanium Dioxide) หรือ ซิงค์ออกไซด์ (Zinc Oxide) ซึ่งช่วยสะท้อนรังสีอัลตราไวโอเลตที่มากระทบจากผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การทาครีมกันแดดอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการป้องกันแสงแดดที่มีความรุนแรง ควรมีการปกป้องผิวอีกชั้นเมื่อต้องเจอกับแสงแดดแรงโดยตรงบริเวณใบหน้า เช่น การกางร่ม สวมหมวก หรือสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดผิวหนังได้อย่างมิดชิด
การรักษาฝ้า ทำได้หลายวิธี
-
รักษาฝ้าด้วยยาทา มักได้ผลดีในฝ้าตื้นมากกว่าฝ้าลึก ในฝ้าตื้นอาจเห็นผลจากยาทาภายใน 2 เดือน โดยสีของฝ้านั้นจะจางลง ถ้าผู้ป่วยมีการใช้ยาอย่างต่อเนื่องถึง 6 เดือน จะเห็นผลชัดเจนขึ้น ส่วนฝ้าลึกนั้น รักษาค่อนข้างยากด้วยยาทาเพียงลำพัง
-
การลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peeling) ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะสามารถก่อให้เกิดแผลเป็นถาวรได้จากการลอกชั้นผิวที่ลึกเกินไป การหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดอย่างเคร่งครัดนั้นเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากหลังการลอกผิวด้วยสารเคมี
-
การขัดผิวหน้าด้วยเกร็ดอัญมณี (Microdermabrasion) เป็นวิธีที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองค่อนข้างสูงและหลังทำต้องมีการระมัดระวังการสัมผัสกับแสงแดดมากกว่าปกติ จึงเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมไม่มากนักในการรักษาฝ้า โดยเฉพาะในประเทศที่มีอากาศร้อนและมีโอกาสสัมผัสกับแสงแดดสูง
-
การใช้เลเซอร์/แสง (Laser/Light Therapy) เป็นเทคโนโลยีที่ปัจจุบันนิยมอย่างแพร่หลาย ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านเลเซอร์นั้นเป็นไปอย่างรวดเร็ว ส่วนเลเซอร์และคลื่นแสงที่ช่วยในการรักษาโรคของเม็ดสี เช่น YAG laser, Q-switched ruby laser, Fractional Erbium-glass laser, Fractional Radio Frequency (RF) และคลื่นแสง IPL (Intense pulsed light) เป็นต้น
ประโยชน์ที่จะได้จากการรักษาด้วยเลเซอร์/แสง คือ ฝ้าจะจางลงเร็วว่าการทายาเพียงลำพัง และช่วยลดผลข้างเคียงจากการใช้ยาทาบางชนิดเป็นเวลานาน
-
ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดฝ้าจากวลีรัตน์คลินิก อย่าง Salmon DNA และ Alpha Arbutin ที่ช่วยให้ผิวหน้าขาวกระจ่างใส ลดฝ้า กระ จุดด่างดำ เห็นผลได้ชัด ช่วยแก้ปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด
Salmon DNA
กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ที่ถูกทำร้ายจากแสงแดด มลภาวะ และฝุ่นควัน ลดเลือนฝ้า กระ จุดจ่างดำ คืนผิวขาวกระจ่างใส
เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ยกกระชับผิวหน้าให้เต่งตึง ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ผิวขาวใสเเละเรียบเนียน ลดเลือนริ้วรอยร่องลึกหรือริ้วรอยก่อนวัยอันควร
ฉีดไหม Scarlet
เป็นการฉีดไหมในชั้นผิวหนังแท้ เพื่อลดเลือนรอยฝ้าให้จางลง ด้วยคุณสมบัติของไหมที่ช่วยเพิ่มคอลลาเจน
ซึ่งคอลลาเจนนั้นมีส่วนช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสขึ้นอยู่แล้วแต่ไหม Scarlet สามารถเพิ่มประสิทธิภาพคูณสองได้ด้วย
การเคลือบสาร Epidermal Growth Factor (EGF) ซึ่ง EGF นั้นคือ โปรตีนชนิดหนึ่งที่มีโครงสร้างของกรดอะมิโนในร่างกาย 53 ชนิด
มีคุณสมบัติที่ช่วยฟื้นฟูผิวเสื่อมสภาพให้กลับมาดีขึ้น ช่วยให้ริ้วรอยลดลง ซ่อมแซมผิวอย่างล้ำลึก
ช่วยกระตุ้นการเติบโตในเซลล์ผิว ไม่ว่าจะเป็นคอลลาเจน อีลาสตินและกรดไฮยาลูรอนิก ทำให้ผิวชุ่มชื้น ยืดหยุ่น
เผยผิวขาวกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ แลดูอ่อนเยาว์อีกทั้งยังช่วยป้องกันการเกิดเม็ดสี (Melanin)
ลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ ผิวเรียบเนียนกระจ่างใส ได้อย่างดีเยี่ยม
ผิวใส ไร้ฝ้า
การดูแลผิวและป้องกันไม่ให้เกิดฝ้าอาจทำได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดด ตัวการที่ทำให้เกิดฝ้า
ต้องหลีกเลี่ยงอย่างเคร่งครัดและเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีที่สุด
ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่วลีรัตน์คลินิกทุกสาขาหรือแอดไลน์สอบถามเพิ่มเติม